บนหอคอยสูงแห่งนั้น
เขียนโดย : กะว่าก๋า
ถ้าความตาย คือ ความเงียบสงบ
การฆ่าตัวตาย คือ ทางเดินไปสู่เส้นทางอันสงบเงียบอย่างนั้นหรือ ?
.....................
ฉันเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ใครได้มองเห็น
ต้องพากันพูดว่าฉันช่างโชคดีเสียนี่กระไร
พ่อฉันรวย...รวยจนเกินกว่าคำจำกัดความของคำว่า “เศรษฐี”
แม่ฉันก็รวย...รวยชนิดความจนทุกรูปแบบบนโลกนี้ใฝ่ฝันถึง
คนรวยมีความสุขแบบคนรวย...
เป็นความสุขในรูปแบบที่คนจนทุกคนหลับตาฝันถึง
ฉันคือผลผลิตที่เกิดจากความร่ำรวย
.....................
แต่ความร่ำรวยกลับช่วยอะไรฉันไม่ได้เลย
เพราะฉันรักที่จะปล่อยตัวเองให้จ่อมจมอยู่กับความทุกข์ระทม
ฉันฝังหัวใจของตัวเองไว้ใต้ต้นไม้แห่งความเศร้าสร้อย
ฉันปรารถนาโอบกอดอุ่นๆสักครั้งจากพ่อและแม่
มากกว่าเศษเงินสามสี่หมื่นบาทที่ใช้เป็นค่าขนมประจำสัปดาห์
ฉันอยากให้พ่อแม่พี่น้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบ้าง
มากกว่าการซื้อรถคันงาม บ้านหลังใหญ่
และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย
แต่คนในครอบครัวกลับไม่มีเวลาได้ใช้มันร่วมกันสักครั้ง
พ่อกับแม่ซื้อๆๆๆๆๆ....ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างให้
โดยไม่ถามฉันสักคำว่าเคยต้องการมันหรือเปล่า
พ่อแม่ยิ่งร่ำรวย
ช่องว่างระหว่างฉันกับเขายิ่งถ่างถอยออกไปเรื่อยๆ
มันเป็นหลุมดำที่ไม่อาจถมให้เต็มได้
ด้วยเงินทอง ทรัพย์สิน เสื้อผ้ากระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาเรือนแสน
หรือวัตถุข้าวของใดใด
ฉันแค่อยากได้รับความอบอุ่นในครอบครัว
อยากได้ความรักที่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจรู้สึก
ไม่ใช่ความรักชนิดที่ต้องซื้อหาด้วยเงินตรา
พ่อแม่เลี้ยงฉันด้วยเงิน
ฉันจึงเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง
ที่มีชีวิต---แต่ไม่มีจิตใจ
.................................
ลมหายใจสุดท้ายของฉันพลันสิ้นสุดลง
แทนที่จะพบกับความมืดดำ
ฉันกลับได้เห็นแสงนวลอ่อนหวานละมุนละไมตา
นี่คงเป็นสถานที่ ที่ฉันควรอยู่
...................................
คนใกล้ชิดโทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่เรื่องข่าวการฆ่าตัวตายของฉัน
ทั้งสองตกใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึง
พ่อบอกกับคนใกล้ชิดว่า
จัดการเรื่องต่างๆให้ด้วย
ทั้งคู่จะนั่งเครื่องบินกลับขึ้นไป
หลังตกลงเรื่องธุรกิจการค้าให้เสร็จก่อน
.....................................
บนหอคอยสูงแห่งนั้น
มันเปลี่ยวเหงาและหนาวเหน็บจริงๆ
เมื่อฉันหลับตาลง
กลั้นลมหายใจสุดท้าย
ก่อนชีวิตขาดห้วง
ฉันก็พบว่าตนเองยืนย่ำอยู่ตรง ณ ที่นั้น
ที่ที่ฉันควรอยู่.
6 กรกฎาคม 2543
...........................................
ผมเขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้หลังทราบเรื่องราว
ว่าลูกสาวเจ้าของร้านจิวเวลรี่ผูกคอตายที่ซี่ลูกกรงระเบียงบ้านชั้นสอง.....
เด็กสาวซึ่งน่าจะเพียบพร้อมไปด้วยความสุขแวดล้อมในชีวิต
เงินทอง วัตถุข้าวของเครื่องใช้ โอกาสทางสังคม
ชีวิตอันสุขสบาย ฯลฯ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมี ยังไม่อาจเติมเต็มความต้องการในชีวิตอีกหรือ ?
ท่ามกลางเสียงด่าทอไล่หลัง
“ดี...ตายได้ก็ดี มีมากขนาดนี้ยังโง่ฆ่าตัวตายอีก”
“เป็นฉันก็สบายไปแล้ว เงินก็มี อยากได้อะไรก็ได้”
......ความรวย กับ ความสุข มันคนละเรื่องกันไม่ใช่หรือ ?
ผมไม่คิดด่าทอเธอเหมือนคนอื่นๆ
แต่พยายามตั้งคำถามในใจ
เพื่อนำไปสู่เหตุผลของการจบชีวิต
มันช่วยตอกย้ำให้ผมยิ่งเห็นว่า
คนเราต่างมีความทุกข์เป็นสมบัติติดกาย
ต่างคนต่างทุกข์ ต่างหาวิธีดับทุกข์แตกต่างกันไป
เราไม่อาจล่วงรู้ถึงวินาทีที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนๆหนึ่ง
เขาทุกข์เพียงไร ถึงเดินเลยไปสู่เส้นทางแห่งความตาย
ความเศร้าประเภทใดหนอ
ที่ดึงรั้งคนมากมายให้หลงเข้าไปสู่วังวนอันมืดมนอนธกาลเยี่ยงนี้
นอกจากด่าทอความผิดพลั้งที่หญิงสาวทำขึ้น
เราไม่นึกย้อนมองกลับไปสู่เบื้องหลังครอบครัวบ้างหรือ
ว่าการเลี้ยงดูแบบไหนที่ก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมแบบนี้
ไม่ย้อนมองบ้างหรือ ว่า “ความรัก” ประเภทไหน
ที่ไม่อาจถมเต็มความอบอุ่นในใจให้ดำรงคงอยู่ได้
ไม่อยากรู้จริงๆหรือ
ว่าบนหอคอยแห่งนั้นมันหนาวเหน็บเพียงใด ?
ที่มาของบทความดีๆ : www.athingbook.com
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment